ปราสาทสายฟ้า ปะทะ กิเลนผยอง: ศึกแห่งศักดิ์ศรีลูกหนังเมืองไทย
จากการเมืองภายในฟุตบอลไทย สู่ สงครามบนสนามหญ้า
ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย มีไม่กี่แมตช์ที่ถูกจารึกไว้ในฐานะ “เกมแห่งความดุเดือดทั้งในและนอกสนาม” หนึ่งในนั้นคือการพบกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังไทย — บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (ปราสาทสายฟ้า) และ เมืองทอง ยูไนเต็ด (กิเลนผยอง)
การแข่งขันที่เคยเป็นเพียงเกมกีฬาระดับลีกสูงสุด กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งในระดับ "การเมืองกีฬา" ซึ่งสั่นสะเทือนทั้งวงการฟุตบอลไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ความเป็นมาของ บุรีรัมย์ และ เมืองทอง
เมืองทอง ยูไนเต็ด: ทีมจากเอกชนสู่แชมป์ระดับประเทศ
เมืองทอง ยูไนเต็ด ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 ในชื่อ “สโมสรหนองจอกพิทยานุสรณ์” ก่อนจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มสยามสปอร์ตในปี 2006 และรีแบรนด์เป็น "เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด"
ด้วยการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ ผสานกับการลงทุนจากภาคเอกชน ทำให้เมืองทองทะยานจากดิวิชั่นล่างขึ้นมาสู่ไทยพรีเมียร์ลีกภายในเวลาอันสั้น และคว้าแชมป์ลีกสูงสุดทันทีในปี 2009 ซึ่งถือเป็นการเปิดยุคทองของสโมสรแห่งนี้อย่างแท้จริง
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด: จากทีมจังหวัด สู่ความยิ่งใหญ่แห่งลูกหนังเมืองไทย
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นจากการเป็น "พีอีเอ เอฟซี" (สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ซึ่งคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในปี 2008 ก่อนที่ เนวิน ชิดชอบ จะเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในปี 2009 และย้ายฐานทัพจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดบุรีรัมย์
ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่น เนวินได้เปลี่ยนทีมท้องถิ่นให้กลายเป็นสโมสรที่มีระบบมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสนามช้างอารีนาอันอลังการ, ระบบเยาวชนที่เข้มข้น และความสำเร็จในระดับประเทศแบบต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของ "ปราสาทสายฟ้า" ปะทะ "กิเลนผยอง"
ในช่วงต้นยุค 2010 ฟุตบอลไทยลีกเริ่มเข้าสู่ยุคเฟื่องฟู มีการลงทุนจากเอกชนขนาดใหญ่เข้ามาอย่างจริงจัง เมืองทอง ยูไนเต็ด ภายใต้การบริหารของกลุ่มสยามสปอร์ต และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มี "เนวิน ชิดชอบ" เป็นหัวเรือใหญ่ ต่างพัฒนาทีมขึ้นมาจนกลายเป็นสองขั้วอำนาจของฟุตบอลไทย
ทั้งสองทีมผลัดกันคว้าแชมป์ มีนักเตะทีมชาติอยู่เต็มทีม และฐานแฟนบอลเหนียวแน่น การพบกันของทั้งสองจึงมักไม่ใช่แค่เกมฟุตบอลธรรมดา แต่คือศึกศักดิ์ศรีของ "สองสโมสร" ที่ไม่มีใครยอมใคร
ดราม่าที่ลามจากสนามสู่สมาคม
สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คือ “อิทธิพล” ที่ทั้งสองทีมมีต่อการบริหารจัดการฟุตบอลไทย เมืองทอง ยูไนเต็ด มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มผู้บริหารสมาคมฟุตบอลในยุคนั้น ขณะที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของเนวิน ชิดชอบ ไม่เพียงเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล แต่ยังใช้เวทีฟุตบอลในการแสดงพลังทางการเมืองและสังคม
ความขัดแย้งหลายครั้งไม่ใช่แค่เรื่องใบแดงหรือจังหวะฟาวล์ในสนาม แต่รวมถึงการแต่งตั้งกรรมการ, ตารางการแข่งขัน, กฎกติกา ไปจนถึงข้อสงสัยในความโปร่งใสของสมาคมฟุตบอลเอง
วลีเด็ด: “งูเหลือมกับเชือกกล้วย” กับ “แพ้ใครก็ได้ แต่ไม่แพ้เมืองทอง”
ในช่วงที่ศึกระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด ร้อนแรงถึงขีดสุด มีวลีเด็ดที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของความขัดแย้งและสงครามจิตวิทยาระหว่างสองทีมอยู่สองวลีหลัก ๆ ที่แฟนบอลยังคงจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้
“เหมือนงูเหลือมกับเชือกกล้วย”
วลีนี้ถูกกล่าวโดย เนวิน ชิดชอบ เจ้าของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งใช้เปรียบเทียบความพยายามของฝ่ายตรงข้ามในลักษณะที่ไม่อาจต้านทานได้ เปรียบ “บุรีรัมย์” เป็น งูเหลือม ที่ทรงพลัง หนักแน่น และรัดแน่นจนไม่ปล่อยเหยื่อหลุดมือ ส่วน “เมืองทอง” ในบริบทขณะนั้นถูกเปรียบเป็นเพียง เชือกกล้วย ที่บอบบาง เปราะง่าย และไม่มีทางต้านได้
วาทกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดในวงการกีฬา แต่เป็น สัญลักษณ์ของการท้าทาย และจุดกระแสให้แฟนบอล “เลือดขึ้นหน้า” ทั้งสองฝ่าย กลายเป็นสงครามประสาททั้งในสนามและนอกสนาม
“แพ้ใครก็ได้ แต่ไม่แพ้เมืองทอง”
ขณะเดียวกัน ฝั่งบุรีรัมย์เองก็มีวลีเด็ดอีกวลีที่ฝังรากลึกในจิตใจแฟนบอลและกลายเป็นสโลแกนไม่เป็นทางการ นั่นคือ
“แพ้ใครก็ได้ แต่ไม่แพ้เมืองทอง”
วลีนี้สะท้อนระดับของความขัดแย้งและศักดิ์ศรีระหว่างสองสโมสรอย่างชัดเจน เพราะไม่ว่าเกมลีกจะสำคัญแค่ไหน คะแนนจะส่งผลอย่างไร ความรู้สึกของแฟนบอลบุรีรัมย์คือ “ห้ามแพ้เมืองทองเป็นอันขาด” และในบางช่วงเวลา แฟนเมืองทองก็มีวาทกรรมสวนกลับเช่นกัน เช่น “แชมป์ไม่สำคัญเท่าการชนะบุรีรัมย์”
สองวลีนี้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ผลักดันให้การแข่งขันระหว่างทั้งสองทีม ไม่ใช่แค่เรื่องสามแต้ม แต่คือการชิงศักดิ์ศรีในทุกมิติของเกมฟุตบอลไทย
ธีราธร: ลูกรักสโมสรบุรีรัมย์ สู่การย้ายเข้าเมืองทอง
ในบรรดานักเตะที่เคยเป็น "หัวใจ" ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชื่อของ ธีราธร บุญมาทัน คือตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจและความสำเร็จ เขาคือแบ็กซ้ายตัวหลักของทีมชาติไทย และเป็นผู้เล่นที่แฟนบอลบุรีรัมย์ยกย่องในฐานะ "ลูกรัก" ผู้เติบโตมาจากระบบของสโมสร และมีส่วนพาทีมกวาดแชมป์มากมายในยุคทองของ "ปราสาทสายฟ้า"
อย่างไรก็ตาม การย้ายของธีราธรไปยัง เมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี 2016 สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการฟุตบอลไทยอย่างรุนแรง เพราะไม่ใช่แค่การย้ายทีมธรรมดา แต่คือการ ข้ามฟากจากสโมสรหนึ่งไปสู่อีกสโมสรที่เป็นศัตรูโดยตรง
แฟนบอลบุรีรัมย์จำนวนมากรับไม่ได้กับการย้ายทีมครั้งนี้ บางส่วนถึงขั้นเผาเสื้อ หรือตัดชื่อธีราธรออกจากความทรงจำ ขณะที่แฟนเมืองทองกลับต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นและมองว่าเป็นการ “คว้าผู้เล่นคุณภาพจากคู่แข่ง”
การย้ายทีมของธีราธรไม่เพียงเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ แต่ยังตอกย้ำให้เห็นว่า “สงคราม” ระหว่างสองสโมสร ไม่ได้เกิดแค่ในสนามหรือห้องประชุม แต่ยังขยายไปถึง ตลาดซื้อขายนักเตะ และความรู้สึกของแฟนบอลที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของทีม
ในเวลาต่อมา ธีราธรได้ออกไปค้าแข้งในต่างแดน ทั้งที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก่อนจะกลับมาเล่นให้ทีมชาติและยังคงเป็นนักเตะระดับแนวหน้าเสมอ แต่เรื่องราวของการ “ย้ายขั้ว” จากบุรีรัมย์สู่เมืองทอง ยังคงถูกพูดถึงเสมอในฐานะ หนึ่งในเหตุการณ์ที่ดราม่าที่สุดของวงการฟุตบอลไทย
ปัจจุบัน: ศึกปราสาทสายฟ้า-กิเลนผยอง กับบรรยากาศที่ลดความร้อนแรงลง
แม้ในอดีต "ปราสาทสายฟ้า vs กิเลนผยอง" จะดุเดือดทั้งในสนามและเบื้องหลัง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างสองทีมเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจัยที่ทำให้ความร้อนแรงลดลง มีหลายประการ เช่น:
การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารทีมเมืองทอง: เมืองทองเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นสร้างนักเตะเยาวชนมากขึ้น ลดบทบาทของการเมืองในวงการฟุตบอล
บุรีรัมย์มุ่งพัฒนาทีมแบบมืออาชีพ: ทีมปราสาทสายฟ้าเริ่มเน้นโครงสร้างสโมสรในแบบสากล ลงทุนกับสนามฝึกซ้อม, นักเตะต่างชาติ และเทคโนโลยีฟุตบอล
บรรยากาศแฟนบอลที่เปลี่ยนไป: แฟนบอลทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับฟุตบอลในเชิงคุณภาพมากกว่าความขัดแย้งทางอารมณ์ ส่งผลให้เกม “ซูเปอร์บิ๊กแมตช์” ระหว่างทั้งคู่ในยุคนี้ แม้ยังคงความมันในสนาม แต่ปราศจากความวุ่นวายนอกสนามเหมือนในอดีต
แมตช์ของทั้งสองทีมในปัจจุบันจึงกลายเป็นเวทีของฟุตบอลเชิงเทคนิคที่ยกระดับไทยลีก มากกว่าเวทีของอารมณ์หรือการปะทะในเชิงนโยบาย
จากกีฬา สู่พลังการเมืองและการเปลี่ยนแปลง
ศึกระหว่างสองสโมสรนี้ไม่เพียงส่งผลต่อรูปแบบการแข่งขัน แต่ยังผลักดันให้เกิดกระแสการปฏิรูปสมาคมฟุตบอล เช่น การตรวจสอบความโปร่งใสของการบริหาร, การเปิดกว้างให้กับกลุ่มทุนรายใหม่, การสร้างความเป็นธรรมในระบบการแข่งขัน ฯลฯ
แม้จะมาพร้อมกับความขัดแย้งและดราม่า แต่ก็ต้องยอมรับว่า การปะทะกันของ “ปราสาทสายฟ้า” และ “กิเลนผยอง” มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้วงการฟุตบอลไทยเติบโตและตื่นตัวมากขึ้นในระดับประเทศ
ดังนั้น ระหว่างปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ กิเลนผยอง เมืองทอง ยูไนเต็ด คือบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า วงการกีฬาไม่ได้แยกขาดจากการเมืองและสังคมเสมอไป
บทความจากเรียบเรียงโดย : pintippost(ปิ่นทิปโพสต์) - pintippost.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น